นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย คาดการณ์กรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ที่ระดับ 33.00-33.75 บาท/ดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.35-33.65 บาท/ดอลลาร์ จากระดับเปิดตลาดเช้านี้ (6 ก.พ.) 33.55 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงหนักจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 32.96 บาทต่อดอลลาร์ โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้ง หลังยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมสหรัฐฯ ในวันศุกร์ออกมาสูงกว่าคาดไปมาก
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่าตลาดการเงินอาจผันผวนสูงต่อได้ โดยจะขึ้นกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน และที่สำคัญถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและประธานเฟด หลังภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มสดใสกว่าคาด
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า หากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมการปรับฐานของราคาทองคำ เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อได้บ้าง โดยต้องจับตาแนวต้านสำคัญแถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ที่เป็นจุด Cut Loss ของผู้เล่นบางส่วนที่มีสถานะ Short USDTHB รวมถึงเป็นจุดที่ผู้ส่งออกบางส่วนต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ ควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังนักลงทุนต่างชาติยังเดินหน้าขายสุทธิหุ้นและบอนด์ต่อเนื่อง อนึ่ง แรงขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มลดลงหลังดัชนี SET50 ได้ย่อลงใกล้โซนแนวรับหลัก
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่าหากประธานเฟดและบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดแสดงความกังวลว่า ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอลงช้า และผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนออกมาน่าผิดหวัง ตลาดอาจปิดรับความเสี่ยงต่อ หนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้อาจมีไม่มาก แต่ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งตลาดคาดว่า ภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่ได้แย่ลงอย่างที่ตลาดเคยกังวล รวมถึงภาพเงินเฟ้อที่ชะลอลงมากขึ้นอาจช่วยหนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทรงตัวที่ระดับ 64.9 จุด (หรืออาจปรับตัวขึ้นเล็กน้อยได้) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด โดยเฉพาะประธานเฟด หลังจากในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดตีความ ถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง Press Conference ว่า เฟดอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยไปมากนักจากระดับล่าสุด (ส่งผลให้ตลาดการเงินเปิดรับความเสี่ยงชัดเจน) ทว่า รายงานข้อมูลตลาดแรงงานล่าสุดในวันศุกร์ที่ผ่านมา กลับออกมาดีเกินคาดไปมาก ทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอีกครั้ง (สะท้อนผ่านมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มอง Terminal Rate 5.25% อีกครั้ง) ซึ่งผู้เล่นในตลาดอาจอยากทราบมุมมองของประธานเฟด รวมถึงเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อและการปรับนโยบายการเงินเฟด หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานล่าสุดที่ดีกว่าคาด นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจและถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งหากผลประกอบการ รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการในอนาคตออกมาแย่กว่าคาด อาจส่งผลให้บรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ต่อเนื่องจากช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมาได้
▪ ฝั่งยุโรป – ภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปที่ดีขึ้นกว่าคาด จะช่วยหนุนให้บรรดานักลงทุนสถาบันและบรรดานักวิเคราะห์มีมุมมองที่ดีขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน สะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนโดย Sentix (Investor Confidence) เดือนกุมภาพันธ์ ที่อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ -12 จุด ดีขึ้นจากระดับ -17.5 จุด ในเดือนก่อนหน้า (ดัชนีน้อยกว่า 0 สะท้อนมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 6 เดือนข้างหน้า) อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจอังกฤษในไตรมาสที่ 4 โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า เศรษฐกิจอังกฤษ อาจขยายตัวเพียง +0.3%y/y ชะลอลงหนัก จากที่ขยายตัวกว่า +1.9%y/y ในไตรมาสก่อนหน้า กดดันโดยภาวะเงินเฟ้อสูงและผลกระทบของราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูงจนกดดันการใช้จ่ายของครัวเรือน ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปอย่างใกล้ชิด เพราะหากผลประกอบการส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด อาจยังคงกดดันให้บรรยากาศในตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นและกดดันให้เงินยูโร (EUR) มีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้
▪ ฝั่งเอเชีย – ตลาดประเมินว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนภายหลังการผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID จะช่วยหนุนให้ราคาสินค้าและบริการโดยรวมปรับตัวขึ้นได้บ้าง ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของจีนในเดือนมกราคมอาจปรับขึ้นสู่ระดับ 2.2% จาก 1.8% ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ตลาดยังคงมองว่า แรงกดดันเงินเฟ้อของจีนยังมีไม่มากนัก ทำให้ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังสามารถใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายได้ หากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขณะที่ทางด้านธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และ ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.25% สู่ระดับ 3.35% และ 6.50% ตามลำดับ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของทั้ง 2 ประเทศแม้ว่าจะชะลอลง แต่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของนโยบายการเงินพอสมควร
▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่าการทยอยฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจที่ได้แรงส่งจากการบริโภคในประเทศจะช่วยหนุนให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมกราคมเพิ่มขึ้น +0.5% จากเดือนก่อนหน้า หรือคิดเป็น +5.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ความหวังเศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้นในปีนี้อาจช่วยหนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมกราคมปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50 จุดได้เช่นกัน