6 วิธีปกป้อง “ภาพ-คลิปส่วนตัว” ไม่ให้โดนขโมยขณะส่งโทรศัพท์ซ่อม

Exclusive โทรศัพท์มือถือ ไอที

การส่งโทรศัพท์มือถือไปซ่อมในยุคปัจจุบันกลายเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความระมัดระวังสูง หลังจากมีรายงานข่าวการขโมยภาพและวิดีโอส่วนตัวจากเครื่องลูกค้าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคต้องเผชิญกับความกังวลใจทุกครั้งที่ต้องนำโทรศัพท์ไปรับบริการซ่อมแซม เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ภาพหรือคลิปวิดีโอเหล่านั้นก็จะถูกนำไปเผยแพร่หรือขายบนโลกออนไลน์ ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงและความเป็นส่วนตัวของเหยื่อ

สำหรับปัญหานี้ แม้ว่าร้านซ่อมที่ได้มาตรฐานหรือได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากแบรนด์จะมีมาตรการปกป้องข้อมูลลูกค้าอยู่แล้ว แต่สำหรับร้านเล็กๆ หรือช่างอิสระ การรักษาจรรยาบรรณอาจไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ดังนั้น การปกป้องข้อมูลส่วนตัวด้วยตนเองจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนควรเรียนรู้

สถานการณ์ปัจจุบันของการขโมยข้อมูลจากการซ่อมโทรศัพท์

ปัญหาการขโมยภาพและวิดีโอส่วนตัวจากโทรศัพท์มือถือขณะส่งซ่อมเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าของเครื่องมอบรหัスปลดล็อกให้กับช่างซ่อม หรือเมื่อเครื่องมีปัญหาที่ต้องเข้าถึงระบบภายใน ทำให้ช่างสามารถเข้าไปดูข้อมูลต่างๆ ภายในเครื่องได้

การกระทำดังกล่าวนับเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างร้ายแรง และในหลายกรณีอาจนำไปสู่การรีดไถเงิน การข่มขู่ หรือการเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งส่งผลกระทบทางจิตใจและสังคมอย่างมากต่อเหยื่อ

ความเสี่ยงหลักที่พบบ่อย

การขโมยข้อมูลจากโทรศัพท์ที่ส่งซ่อมมักเกิดขึ้นผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การเข้าถึงแกลเลอรี การคัดลอกไฟล์จากหน่วยความจำภายใน การถ่ายโอนข้อมูลจากเมมโมรีการ์ด หรือการเข้าถึงแอปพลิเคชันต่างๆ ที่เก็บข้อมูลส่วนตัว เช่น แอปแชต แอปธนาคาร หรือแอปโซเชียลมีเดีย

ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันที่ทำให้การคัดลอกข้อมูลทำได้รวดเร็ว เพียงไม่กี่นาทีก็สามารถโอนย้ายไฟล์ขนาดใหญ่ได้แล้ว ทำให้การขโมยข้อมูลกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายและรวดเร็ว โดยเจ้าของเครื่องอาจไม่รู้ตัวเลยว่าข้อมูลของตนถูกคัดลอกไป

6 วิธีป้องกันข้อมูลส่วนตัวก่อนส่งซ่อม

1. การลบภาพและคลิปที่สุ่มเสี่ยงออกจากเครื่องทั้งหมด

วิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการป้องกันการขโมยภาพและวิดีโอ คือการไม่เก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ในเครื่องตั้งแต่แรก หากไม่มีสิ่งที่สุ่มเสี่ยงอยู่ในเครื่อง ก็จะไม่มีอะไรให้ถูกขโมยไป

การลบไฟล์ให้ปลอดภัยต้องทำเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจากการเข้าไปที่แกลเลอรีหรืออัลบั้มรูปภาพ เลือกภาพหรือคลิปที่ต้องการลบ จากนั้นกดปุ่มลบหรือไอคอนถังขยะ อย่างไรก็ตาม การลบครั้งแรกนี้ไฟล์จะไม่หายไปจริงๆ แต่จะถูกย้ายไปเก็บไว้ในโฟลเดอร์ “Recently Deleted” หรือ “Trash” เป็นเวลาประมาณ 30 วัน

ดังนั้น เพื่อให้การลบมีประสิทธิภาพจริงๆ ต้องเข้าไปลบในโฟลเดอร์ถังขยะอีกครั้งหนึ่ง การทำเช่นนี้จะทำให้ไฟล์หายไปจากเครื่องอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ หากมีการซิงค์ข้อมูลกับคลาวด์ เช่น iCloud Photos หรือ Google Photos ก็ต้องเข้าไปลบในระบบคลาวด์เหล่านั้นด้วย และลบในถังขยะของคลาวด์อีกครั้งเช่นกัน

2. การถอดเมมโมรีการ์ดออกมาเก็บไว้

เมมโมรีการ์ดหรือ MicroSD Card เป็นจุดเสี่ยงสูงสุดในการถูกขโมยข้อมูล เนื่องจากไม่มีระบบป้องกันใดๆ เลย ช่างสามารถถอดการ์ดออกมาแล้วเสียบกับเครื่องอ่านการ์ดเพื่อคัดลอกข้อมูลได้ทันที โดยไม่ต้องรู้รหัสผ่านของเครื่องเลย

การเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็เหมือนกับการส่งกระเป๋าเงินที่มีบัตรประชาชนและเงินสดให้คนอื่นดูแล ความเสี่ยงที่จะเกิดการขโมยจึงสูงมาก การถอดเมมโมรีการ์ดออกมาเก็บไว้กับตัวเองก่อนส่งซ่อมจึงเป็นวิธีป้องกันที่จำเป็นและมีประสิทธิภาพสูง

สำหรับผู้ที่ใช้เมมโมรีการ์ดเก็บข้อมูล ควรตรวจสอบว่าไฟล์สำคัญใดบ้างที่เก็บอยู่ในการ์ด และควรถอดออกมาทุกครั้งก่อนส่งซ่อม แม้ว่าการ์ดจะเก็บเพียงแอปพลิเคชันหรือเกมส์ ก็ควรถอดออกมาเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

3. การย้ายข้อมูลไปเก็บที่อื่นแล้วลบออกจากเครื่อง

สำหรับผู้ที่ต้องการเก็บภาพหรือคลิปวิดีโอส่วนตัวไว้ด้วยเหตุผลใดๆ แต่ไม่ต้องการเสี่ยงต่อการถูกขโมย วิธีการย้ายไฟล์ไปเก็บในอุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอกจึงเป็นทางเลือกที่ดี

กระบวนการนี้คล้ายกับการสำรองข้อมูล โดยให้คัดลอกภาพและวิดีโอไปเก็บไว้ในอุปกรณ์เก็บข้อมูลพกพา เช่น External Hard Drive, Flash Drive หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์ส่วนตัว หลังจากนั้นจึงลบไฟล์ต้นฉบับออกจากโทรศัพท์ตามวิธีการที่กล่าวไว้ในข้อแรก

การทำเช่นนี้จะทำให้สามารถเก็บข้อมูลสำคัญไว้ได้ โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อการถูกขโมยขณะส่งซ่อม และเมื่อได้เครื่องกลับมาแล้ว ก็สามารถคัดลอกไฟล์กลับเข้าไปในเครื่องได้ตามปกติ

4. การตั้งรหัสปลดล็อกสำหรับแอปแกลเลอรี

หากไม่สะดวกที่จะลบหรือย้ายไฟล์ทั้งหมด การล็อกแอปพลิเคชันที่เก็บภาพและวิดีโอก็เป็นอีกหนึ่งมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ เหมือนกับการใส่กุญแจล็อกให้กับแอปพลิเคชัน ทำให้ไม่สามารถเปิดดูได้โดยง่าย

สำหรับผู้ใช้ iPhone ที่ใช้ iOS 18 ขึ้นไป สามารถล็อกแอปพลิเคชัน Photos ได้โดยการแตะค้างที่ไอคอนแอปพลิเคชันบนหน้าจอหลัก จนกว่าเมนูจะปรากฏขึ้น จากนั้นเลือก “Require Face ID” หรือ “Lock App” และยืนยันตัวตนด้วย Face ID, Touch ID หรือรหัสผ่าน

สำหรับผู้ใช้ Samsung สามารถใช้ฟีเจอร์ “Secure Folder” ซึ่งเป็นเหมือนตู้เซฟดิจิทัลภายในเครื่อง โดยสามารถย้ายรูปภาพ วิดีโอ ไฟล์ และแอปพลิเคชันสำคัญเข้าไปเก็บไว้ในโฟลเดอร์นี้ และตั้งรหัสผ่านแยกต่างหากได้ การเข้าถึงฟีเจอร์นี้ทำได้ผ่านการตั้งค่า > ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว > Secure Folder

สำหรับ Android รุ่นอื่นๆ มักจะมีฟีเจอร์ “App Lock” หรือ “Private Space” ที่สามารถใช้ล็อกแอปพลิเคชันแกลเลอรีได้โดยตรง หรือสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน App Locker จาก Play Store มาใช้งานได้

5. การไม่เปิดเผยรหัสปลดล็อกเครื่องให้กับช่างซ่อม

หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการขโมยภาพและคลิปวิดีโอ คือการมอบรหัสปลดล็อกเครื่องให้กับร้านหรือช่างซ่อม ด้วยความไว้ใจหรือความไม่รู้ เมื่อช่างมีรหัสปลดล็อกแล้ว ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างในเครื่องได้โดยไม่มีข้อจำกัด

การปฏิเสธการให้รหัสปลดล็อกอาจทำให้บางคนรู้สึกไม่สะดวกใจ กลัวว่าจะดูไม่ไว้ใจ แต่นี่เป็นสิทธิของเจ้าของเครื่องที่จะปกป้องข้อมูลส่วนตัว และร้านซ่อมที่มีมาตรฐานก็จะเข้าใจและมีวิธีการทำงานที่ไม่ต้องการรหัสปลดล็อก

แทนที่จะให้รหัสปลดล็อก ควรขอให้ช่างใช้โหมดซ่อมบำรุงแทน ซึ่งจะปลอดภัยกว่ามาก และยังช่วยให้ช่างสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว

6. การขอให้เปิดโหมดซ่อมบำรุงทุกครั้ง

โหมดซ่อมบำรุง (Repair Mode หรือ Maintenance Mode) เป็นฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ผู้ผลิตโทรศัพท์พัฒนาขึ้นมาเพื่อป้องกันปัญหานี้โดยเฉพาะ โหมดนี้จะสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานแยกสำหรับช่างซ่อม ทำให้ช่างสามารถทดสอบการทำงานต่างๆ ของเครื่องได้เต็มที่ แต่จะไม่สามารถมองเห็นหรือเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวใดๆ ได้เลย

เมื่อเปิดโหมดนี้แล้ว ช่างจะไม่สามารถเห็นรูปภาพ รายชื่อผู้ติดต่อ บัญชีต่างๆ แอปพลิเคชัน หรือข้อมูลส่วนตัวอื่นใด เหมือนกับได้ยื่นเครื่องเปล่าให้ช่างซ่อม แต่ยังคงสามารถทดสอบฟังก์ชันการทำงานต่างๆ ได้ครบถ้วน

การเรียกร้องให้ใช้โหมดนี้เป็นสิทธิของลูกค้า และร้านซ่อมที่มีมาตรฐานควรจะสามารถให้บริการในโหมดนี้ได้ หากช่างหรือร้านปฏิเสธการใช้โหมดซ่อมบำรุง ควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้บริการที่อื่นแทน เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว

ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมในการเลือกร้านซ่อม

นอกจากการป้องกันข้อมูลด้วยตนเองแล้ว การเลือกร้านซ่อมที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ควรเลือกร้านที่มีการรับรองจากแบรนด์ มีชื่อเสียงที่ดี และมีนโยบายการปกป้องข้อมูลลูกค้าที่ชัดเจน

การเลือกร้านซ่อมที่เชื่อถือได้

ร้านซ่อมที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากผู้ผลิต เช่น Apple Authorized Service Provider หรือ Samsung Service Center มักจะมีมาตรการปกป้องข้อมูลที่เข้มงวดกว่า เนื่องจากต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่แบรนด์กำหนด

สำหรับร้านซ่อมอิสระ ควรสอบถามเกี่ยวกับนโยบายการปกป้องข้อมูลลูกค้า การอบรมพนักงานเรื่องจรรยาบรรณ และมาตรการความปลอดภัยต่างๆ ร้านที่ดีจะสามารถอธิบายและให้ความมั่นใจในเรื่องเหล่านี้ได้

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ

ก่อนตัดสินใจส่งซ่อม ควรค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับร้านจากอินเทอร์เน็ต อ่านรีวิวจากลูกค้ารายอื่น สอบถามคนรู้จักที่เคยใช้บริการ และสังเกตความเป็นมืออาชีพของพนักงาน ร้านที่ดีจะมีระบบการทำงานที่เป็นระเบียบ มีการให้ใบเสร็จ และมีการติดตามสถานะการซ่อม

มาตรการป้องกันเพิ่มเติมสำหรับความปลอดภัยสูงสุด

การสำรองข้อมูลก่อนส่งซ่อม

ก่อนส่งโทรศัพท์ไปซ่อมทุกครั้ง ควรทำการสำรองข้อมูลสำคัญไว้ก่อน ไม่เพียงแต่เพื่อป้องกันการขโมยข้อมูล แต่ยังเป็นการป้องกันการสูญหายของข้อมูลในกรณีที่เกิดปัญหาระหว่างการซ่อมด้วย

การสำรองข้อมูลสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การใช้ระบบ iCloud Backup สำหรับ iPhone หรือ Google Backup สำหรับ Android การคัดลอกไฟล์ไปเก็บในคอมพิวเตอร์ หรือการใช้บริการคลาวด์ต่างๆ เช่น Google Drive, Dropbox หรือ OneDrive

การเปลี่ยนรหัสผ่านสำคัญ

หากจำเป็นต้องให้ช่างเข้าถึงบัญชีหรือแอปพลิเคชันบางตัว ควรเปลี่ยนรหัสผ่านของบัญชีสำคัญก่อนส่งซ่อม เช่น รหัสผ่านอีเมล รหัสผ่านโซเชียลมีเดีย รหัสผ่านแอปธนาคาร เป็นต้น และเปลี่ยนกลับเป็นรหัสผ่านเดิมหลังจากได้เครื่องคืนมาแล้ว

การทำเช่นนี้จะช่วยป้องกันการเข้าถึงบัญชีต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ว่าช่างจะสามารถดูรหัสผ่านที่บันทึกไว้ในเครื่องได้ก็ตาม

การตรวจสอบเครื่องหลังรับคืน

หลังจากได้เครื่องคืนมาแล้ว ควรตรวจสอบว่ามีการติดตั้งแอปพลิเคชันแปลกๆ หรือมีการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าใดๆ หรือไม่ ตรวจสอบประวัติการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ และเปลี่ยนรหัสผ่านสำคัญทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย

กฎหมายและการดำเนินการทางกฎหมาย

การขโมยข้อมูลส่วนตัวจากโทรศัพท์มือถือถือเป็นความผิดทางกฎหมายที่ร้ายแรง ทั้งตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พระราชบัญญัติคุมครองข้อมูลส่วนบุคคล และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

หากเกิดเหตุการณ์การขโมยข้อมูล ผู้เสียหายสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้ โดยการแจ้งความดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทั้งเก็บรักษาหลักฐานต่างๆ ไว้ เช่น ใบเสร็จการซ่อม การสื่อสารกับร้าน และหลักฐานการถูกนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

การป้องกันตนเองในเชิงกฎหมาย

ก่อนส่งซ่อม ควรขอให้ร้านลงนามในเอกสารยืนยันว่าจะไม่เข้าถึงหรือคัดลอกข้อมูลส่วนตัวใดๆ และหากเกิดการละเมิดขึ้น ร้านจะรับผิดชอบตามกฎหมาย การมีเอกสารเช่นนี้จะช่วยในการดำเนินคดีหากเกิดปัญหาขึ้น

เทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย

ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือหลายรายได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ เช่น การเข้ารหัสข้อมูลแบบ Hardware-based Encryption การใช้ Secure Element สำหรับเก็บข้อมูลสำคัญ และการพัฒนาโหมดซ่อมบำรุงที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับซ่อยข้อมูลสำคัญ การสร้าง Virtual Space สำหรับการทำงาน และระบบการตรวจจับการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้มากขึ้นในอนาคต

บทสรุป

การป้องกันข้อมูลส่วนตัวขณะส่งโทรศัพท์ซ่อมเป็นเรื่องที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการถูกขโมยข้อมูลสามารถส่งผลเสียหายต่อชื่อเสียง ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยของบุคคลได้อย่างร้ายแรง

การปฏิบัติตาม 6 วิธีที่แนะนำ ได้แก่ การลบข้อมูลสุ่มเสี่ยงออกจากเครื่อง การถอดเมมโมรีการ์ด การย้ายไฟล์ไปเก็บที่อื่น การตั้งรหัสล็อกแอปแกลเลอรี การไม่เปิดเผยรหัสปลดล็อก และการขอให้ใช้โหมดซ่อมบำรุง จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ

แม้ว่าการดำเนินการเหล่านี้อาจดูยุ่งยากในตอนแรก แต่เมื่อเทียบกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น การใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการป้องกันข้อมูลก่อนส่งซ่อมถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง

การเลือกร้านซ่อมที่เชื่อถือได้ การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิของผู้บริโภค และการติดตามพัฒนาการด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยใหม่ๆ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำควบคู่ไปด้วย

ในยุคที่ข้อมูลส่วนตัวมีค่าและสำคัญมากขึ้น การปกป้องข้อมูลของตนเองจึงเป็นหน้าที่ที่ทุกคนต้องรับผิดชอบ แทนที่จะรอให้เกิดปัญหาแล้วจึงมาเสียใจ การป้องกันตั้งแต่เริ่มต้นจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล